6 เมษายน 2560 ผมได้รับข่าวการจากไปอย่างสงบของครูฉลบชลัยย์ พลางกูร ในวัย 100 ปี
คนรุ่นนี้ส่วนใหญ่คงไม่เคยได้ยินชื่อ ฉลบชลัยย์ พลางกูร เจ้าของโรงเรียนดรุโณทยาน
นอกเสียจากศิษย์เก่าโรงเรียนแห่งนี้หรือผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ฉลบชลัยย์ เป็นบุตรของขุนสมานสมุทกรรม (บุญหนุน มหานีรานนท์)
กับนางแฉล้ม เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2459
พี่น้องและตัวเธอได้รับพระราชทานชื่อจากสมเด็จฯ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์
กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช อย่างคล้องจองกันว่า “อรรณพ” “ฉลบชลัยย์” “บุญชะนัยชล”
จบการศึกษาจากโรงเรียนราชินีแล้ว เข้าเรียนที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปี 2479 ครูฉลบเป็นผู้หญิงคนเดียวที่สอบชิงทุน King’s Scholarship
และได้รับทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาด้านอนุบาลศึกษาที่ประเทศอังกฤษ
ที่อังกฤษ เธอได้พบจำกัด พลางกูร นักศึกษาสาขาวิชาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ (P.P.E.)
จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด
เขาและเธอแต่งงานกัน เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2482 โดยมีนายปรีดี และท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
มารดน้ำในงานมงคลสมรสของทั้งสองด้วย
คุณจำกัด พลางกูร ต่อมาได้กลายเป็น
อดีตเลขาธิการขบวนการเสรีไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
และร่วมกันก่อตั้งโรงเรียนดรุโณทยานมาด้วยกัน
ทั้งสองตั้งใจเปิดโรงเรียนแห่งนี้ เพื่อ
“ไม่เพียงแต่ต้องการให้นักเรียนมีวิชาความรู้ดีเพียงอย่างเดียว
แต่ยังต้องสอนให้เขารักประชาธิปไตย และเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมด้วย”
คุณจำกัด พลางกูร ตายไปเมื่ออายุได้เพียง 28 ปี
ขณะมาปฏิบัติราชการลับในประเทศจีน
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น
และทำให้รัฐบาลไทยต้องประกาศสงครามกับชาติสัมพันธมิตร
ขณะที่ในประเทศไทยได้มีการก่อตั้งขบวนการเสรีไทย เพื่อต่อสู้กับญี่ปุ่นอย่างลับ ๆ
คนตัวเล็ก ๆ คนนี้เป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่ทำให้สัมพันธมิตร
ไม่ว่าจีน อังกฤษและสหรัฐอเมริกาได้รับทราบถึงการมีอยู่ของขบวนการเสรีไทย
ส่งผลให้หลังสงครามโลกครั้งที่สองไทยไม่ต้องตกเป็นประเทศแพ้สงคราม
ด้วยการลักลอบเข้าไปติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรในประเทศจีน
ในเวลานั้น จำกัด พลางกูรได้รับมอบหมายจากนายปรีดี พนมยงค์
ผู้สำเร็จราชการและหัวหน้าขบวนการเสรีไทย
ให้ไปปฏิบัติภารกิจลับ ลักลอบเดินทางไปประเทศจีน เสี่ยงอันตรายสูงสุดกับศัตรูรอบด้าน
โดยไม่รู้ว่าจะไม่ได้มีโอกาสกลับแผ่นดินแม่อีก
ตอนนั้นจำกัดเพิ่งแต่งงานกับ คุณฉลบชลัยย์ พลางกูร ได้เพียงสามปี
ก่อนที่สามีจะไปทำงานเพื่อประเทศชาติในแดนไกล
“ฉลบจ๋า เธอจงอยู่ไปดี ๆ นะ เธอจงคิดว่า ได้อุทิศฉันให้แก่ชาติไปแล้วก็แล้วกัน”
คือคำร่ำลาครั้งสุดท้ายของสามี
เจ็ดเดือนต่อมาจำกัด พลางกูร ปฏิบัติภารกิจสำเร็จ
ประเทศสัมพันธมิตรทราบว่าประเทศไทยมีขบวนการเสรีไทยที่ต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น
แต่ระหว่างทางได้ล้มป่วยลงและตายที่ประเทศจีน
นายปรีดี พนมยงค์ ทราบข่าวการเสียชีวิตของจำกัดมาระยะหนึ่งแล้ว
แต่ไม่ได้เล่าให้ครูฉลบทราบ จนสงครามสงบลง
นายปรีดีได้เชิญผู้ใหญ่หลายท่านมาที่ทำเนียบท่าช้าง
และรบกวนให้ม.จ.ศุภสวัสดิ์ฯ สวัสดิวัตนหัวหน้าเสรีไทยสายอังกฤษ
ผู้มีโอกาสได้พบจำกัดในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่เมืองจุงกิง ได้เป็นผู้บอกภรรยาของเขา
เมื่อความจริงเป็นที่รับรู้กัน ครูฉลบชลัยย์หนีออกไปร้องไห้นอกห้อง
นายปรีดีเข้าไปโอบกอดและบอกว่า
“ต่อไปนี้ขอให้ถือว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ”
ครูฉลบชลัยย์แต่งชุดดำไว้ทุกข์ต่อมาถึง 20 ปี ครองตัวอยู่คนเดียว
สืบทอดความคิดของสามีผู้ร่วมกันก่อตั้งโรงเรียนดรุโณทยาน
อุทิศตนเองเป็นครูใหญ่สอนหนังสือเด็ก ๆ
โดยเฉพาะลูกหลานของผู้ได้รับเคราะห์กรรมหลังการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490
จอมพลผิน ชุณหะวัน และบรรดาทหารได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน
และ ร.อ.ชาติชาย ชุณหะวันลูกชายของจอมพลผินเป็นผู้นำรถถังมายิงที่ทำเนียบท่าช้าง
หมายจะจับตัวนายปรีดี พนมยงค์
แต่ฉลบชลัยย์ผู้อยํูในบ้านเวลานั้น ได้เดินออกมาขวางรถถังและบอกแก่ทหารว่า
“เมื่อคุณไม่ไว้ใจเรา เราก็มีสิทธิ์ไม่ไว้ใจคุณ
คุณจะเข้าตรวจค้นโดยพลการได้อย่างไร”
จนทหารได้ล่าถอยไป
ครูฉลบอุปการะลูกๆ ของคนที่ถูกกวาดล้างจากเผด็จการทหาร
อาทิลูกหลานของอดีตสี่รัฐมนตรีที่ถูกเผด็จการลอบสังหารอย่างโหดร้าย
คือนายเตียง ศิริขันธ์, ถวิล อุดล, จำลอง ดาวเรือง, ทองอินทร์ ภูริพัฒน์
และให้การช่วยเหลือนักศึกษาที่ตกเป็นผู้ต้องหาจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
ส่งอาหารมาเยี่ยมทุกอาทิตย์ติดต่อกันสองปี จนผู้ต้องหาถูกปล่อยออกมาทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ครูเคยเล่าให้ฟังว่า
“ดิฉันมานึกดูว่า นักศึกษาพวกนี้จะถูกฟ้องขึ้นศาลทหาร
ศาลพิเศษนี่แหละที่จำกัดสามีของดิฉันได้เคยเขียนวิพากษ์วิจารณ์ไว้
และนั่นเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาถูกออกจากราชการและชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
ถ้าเขามีชีวิตอยู่ เขาจะต้องทุ่มตัวเข้าช่วยเด็กพวกนี้ทุกวิถีทาง ”

ทุกครั้งที่เกิดความไม่ยุติธรรมในสังคม
ครูฉลบเจ้าของโรงเรียนเอกชนเก่าแก่จะปรากฎตัวคอยช่วยเหลือ
และเป็นกำลังใจให้กับคนที่ไม่ได้รับความยุติธรรมเสมอ เพราะเชื่อมั่นว่า
ครูสอนหนังสือมาจนอายุ 90 ปี เคยพูดว่า
“พวกเธอหลายๆ คนคิดว่า ครูต้องเสียสละอะไรมากมายเพื่อนักเรียน
ความจริงแล้วครูไม่ได้เสียสละอะไรมากเลย
ตรงข้าม ครูเป็นหนี้นักเรียนไม่น้อย เพราะการได้ทำงาน
ได้มีโอกาสอบรมสั่งสอนพวกเธอรุ่นแล้วรุ่นเล่าทำให้ครูมีความสุขมาก
ทำให้อายุยืนยาว”
หากสามียังมีชีวิตอยู่ก็จะทำสิ่งเดียวกันเช่นเดียวกับครูฉลบทำมาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
ความรักของคนสองคน เมื่อคนหนึ่งจากไป
คงถูกสานต่อด้วยอุดมคติของคนที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นเวลายาวนานกว่า 60 ปี
รูปถ่ายของจำกัดใส่กรอบตั้งอยู่ในบ้านตลอดกาล จนวาระสุดท้ายของชีวิตครูฉลบ
เป็นความรักที่แม้ความตายก็มิอาจพรากจากไปได้