ข้าวโพด อ้อย เบื้องหลังหมอกควันพิษครั้งร้ายแรงที่สุด

 

55887650_10156208483357361_7605831789189267456_n

 

วันนี้ 29 มีนาคม 2562

อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่

อากาศเลวร้ายแทบจะสูงสุดในประวัติศาสตร์โลก

ภาพที่เห็นแสดงคุณภาพอากาศที่อำเภอสะเมิง

ค่า pm 10. 989

ค่า pm 2.5. 758

สถิติโลกเมื่อสิบกว่าปีก่อน คุณภาพอากาศเลวร้ายที่สุดในโลกคือ 900 ที่ปักกิ่ง

แต่หากหาค่าเฉลี่ยคุณภาพอากาศเชียงใหม่

เป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว จังหวัดเชียงใหม่ติดอันดับหนึ่งของโลก

ในฐานะเมืองที่มีอากาศเลวร้ายที่สุดในโลก

ดัชนีคุณภาพอากาศ air quality index (AQI)

หรือตัวเลขที่ใช้เพื่อสื่อสารว่าอากาศมีมลภาวะแค่ไหน จะอยู่ระดับ 300-400

บางวันกระโดดขึ้นไปทะลุ 500 จากมาตรฐานปกติ 50

ค่า pm2.5 จากมาตรฐานปกติ 25 ขึ้นไปสูงถึง 200 กว่า

 

สภาพตอนนี้ของเชียงใหม่ไม่ต่างจากเมืองในหมอก

ปีนี้ปัญหาหมอกควันพิษภาคเหนือรุนแรงผิดปกติ เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว

ปัญหาหมอกควันพิษปฏิเสธไม่ได้ว่า

สาเหตุหลักมาจากการจุดไฟเผาพืชไร่ หลังการเก็บเกี่ยวในหน้าแล้ง

และพืชที่นิยมปลูกกันมากช่วงหน้าแล้งคือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

เพราะข้าวโพดเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย เหมาะกับการปลูกในพื้นราบ และบนดอย

สาเหตุสำคัญที่ชาวไร่นิยมปลูกกันมาก

เพราะความต้องการของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในประเทศสูงมาก

 

หลายปีที่ผ่านมา การขยายตัวของบริษัทเกษตรยักษ์ใหญ่

ในการผลิตเนื้อสัตว์เพื่อการบริโภคมีปริมาณสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทั้งบริโภคภายในและส่งออกเนื้อสัตว์ จนกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกเนื้อสัตว์อันดับต้น ๆ ของโลก

 

201_exposure

ข้าวโพด วัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์จึงมีไม่พอ

แต่ละปีมีความต้องการข้าวโพดมากถึง 8 ล้านตัน แต่ผลิตได้เพียง 5 ล้านตันเท่านั้น

ทำให้ต้องนำเข้าข้าวสาลีจากต่างประเทศ เพื่อทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

 

ทุก ๆ ปีจึงมีการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดมากขึ้น เพราะอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์โตขึ้นทุกปี

และอีกด้านหนึ่ง บริษัทเหล่านี้ก็เป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเมล็ดพันธุ์

ที่มีรายได้มหาศาลจากการขายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดให้กับเกษตรกร

ยิ่งปลูกข้าวโพดมาก เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดก็ขายได้มากขึ้น

 

หากย้อนหลังไปดูสถิติย้อนหลัง จะพบว่าปริมาณฝุ่นละอองทางภาคเหนือมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ

ภายหลังจากมีการส่งเสริมให้ปลูกข้าวโพดอย่างกว้างขวาง

ทำให้เกิดการบุกรุกป่า เผา ถางเพื่อเปลี่ยนเป็นไร่ข้าวโพดสุดลูกหูลูกตา

 

นโยบายของรัฐบาลหลายยุคที่ผ่านมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

ได้สนับสนุนพืชเศรษฐกิจสำคัญสี่ชนิด คือ อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน

ตามคำแนะนำของสภาหอการค้าไทย

เมื่อเปิดดูทำเนียบกรรมการสภาหอการค้าไทย มีรายชื่อตัวแทนของบริษัทเกษตรกรรมยักษ์ใหญ่

และโรงงานน้ำตาลนั่งเป็นกรรมการอย่างยาวนาน

ไม่เฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่รัฐบาลในอดีตยังส่งเสริมให้บริษัทเหล่านี้ไปปลูกข้าวโพด

ประเทศเพื่อนบ้านด้วย

 

ในปีพ.ศ. 2549  สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร คณะรัฐมนตรีไทยมีมติ

ให้ดำเนินงาน Contract Farming บริเวณชายแดน ประเทศเพื่อนบ้าน

โดยใช้มาตรการลดหย่อนภาษี กำหนดพื้นที่นำร่อง 3 ประเทศ คือ พม่า ลาว กัมพูชา

ภายใต้กรอบความร่วมมือเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง

เพื่อส่งเสริมให้ปลูกพืชเศรษฐกิจที่สำคัญคือ ข้าวโพด

 

ผลก็คือ บริษัทเกษตรยักษ์ใหญ่จากเมืองไทยพากันไปเปิดพื้นที่ปลูกข้าวโพดหลายล้านไร่

ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในรัฐฉาน ประเทศพม่า

พื้นที่นับล้านไร่กลายเป็นแหล่งปลูกข้าวโพดสำคัญ ส่งไปเป็นอาหารสัตว์ในประเทศจีน

โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่ของเมืองไทยเป็นเจ้าของ

55557059_2184310688293987_6622860577117044736_n

ในช่วงหน้าแล้งจึงมีควันไฟจากประเทศเพื่อนบ้าน จากการเผาซากไร่ข้าวโพดลอยเข้ามาทางภาคเหนือ

เพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ

ล่าสุดคุณภาพอากาศของรัฐฉาน แหล่งปลูกข้าวโพดสำคัญในประเทศเมียนมาร์

ปัญหาหมอกควันพิษทะลุ 1,000 แล้ว น่าจะสูงสุดในประวัติศาสตร์โลก

และแน่นอนว่าส่วนหนึ่งลอยเข้ามาปกคลุมพื้นที่ภาคเหนือของประเทศ

AAF4860B-9BFA-42F4-9780-F8E2433FFD22

อีกด้านหนึ่งการปลูกข้าวโพดในหน้าแล้งเป็นนโยบายของรัฐบาล เพื่อลดพื้นที่ทำนา

ในปีพ.ศ. 2558 รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สนับสนุนให้ปลูกพืชเศรษฐกิจทั้งสี่ชนิด

ทดแทนการปลูกข้าวนาปรังในหน้าแล้ง  เพื่อลดการใช้น้ำ และลดปริมาณข้าวล้นตลาด

ทำราคาตกต่ำ หันมาปลูกข้าวโพด ที่ใช้น้ำน้อยกว่า ได้ผลผลิตดีกว่า

 

ล่าสุดปี 2561  ครม.ได้อนุมัติโครงการต่อเนื่อง เรียกว่าโครงการสานพลังประชารัฐ

เพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา สำหรับช่วงเดือน ก.ย.61 – ก.ย.62

กระตุ้นให้เกษตรกรหันมาปลูกข้าวโพด

 

เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เคยแถลงว่า มีเกษตรกรแสดงความจำนงร่วมโครงการ 114, 775 ราย พื้นที่ 1,000,111 ไร่ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่พร้อมทำสัญญาจ่ายสินเชื่อให้เกษตรกรที่จุดรับสมัคร

และสมาคมผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ เข้าให้ความรู้เกษตรกรอย่างใกล้ชิด

พร้อมตั้งจุดรับซื้อทุกอำเภอเพื่อซื้อผลผลิตข้าวโพดทุกเมล็ด

 

ถนนทุกสาย นโยบายทุกอย่างของรัฐ มุ่งสู่การสนับสนุนให้ชาวไร่ปลูกข้าวโพด

เพื่อรองรับความต้องการของบริษัทยักษ์ใหญ่การเกษตร

ที่ต้องการข้าวโพดมาทำอาหารสัตว์ เลี้ยงสัตว์ อุตสาหกรรมหลักของบริษัทเหล่านี้

ทดแทนการนำเข้าที่มีต้นทุนสูงกว่า

 

ทำให้ทุกวันนี้ ประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเกือบ 7 ล้านไร่

และอยู่ทางภาคเหนือ 4 ล้านกว่าไร่

ทุกปีในช่วงการเก็บเกี่ยวผลผลิตหน้าแล้ง จะมีเศษวัสดุเหลือทิ้งได้แก่เปลือกและซังข้าวโพด

ส่วนใหญ่เกษตรกรจะปล่อยไว้และรอเผาทิ้งในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน

ของทุกปีซึ่งก่อให้เกิดควันจากการเผาไหม้

 

จากการประเมินพบว่าจะมีปริมาณซังข้าวโพดเหลือทิ้งจำนวน1.2 ล้านตัน/ปี

เปลือกข้าวโพดจำนวน 3.1 แสนตัน/ปี  ส่วนใหญ่เผากลายเป็นควันพิษในอากาศ

และอีกส่วนฝังกลบเพื่อทำเป็นปุ๋ยต่อไป

55892354_10206052356184362_4404108629809037312_n

แต่การฝังกลบเพื่อทำเป็นปุ๋ย ต้องจ้างรถไถเข้าไปไถกลบต้นข้าวโพด

อันเหมาะกับการปลูกข้าวโพดบนที่ราบ มากกว่าข้าวโพดบนเชิงเขาหรือบนดอย

ข้าวโพดที่ปลูกบนดอยหรือเชิงเขาติดป่า หรือลักลอบปลูกในอุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

เมื่อจุดไฟเผาแล้วจึงลุกลามเข้าไปในป่ากลายเป็นไฟป่า ก่อให้เกิดหมอกควันพิษเพิ่มมากขึ้นไปอีก

 

สิ่งที่ตามมาคือ คนเชียงใหม่ มีอัตราการป่วยของมะเร็งปอดสูงกว่ากรุงเทพมหานคร

และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศไทย ตั้งแต่มีปัญหาเรื่องหมอกควัน

มีผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นเกือบสิบเท่า โรคหลอดเลือด โรคตาอักเสบและโรคผิวหนังอักเสบ

มีผู้เข้ารับการรักษาวันละร่วมหมื่นคน

 

ขณะเดียวกัน นอกจากข้าวโพดแล้ว การเผาอ้อยในช่วงหน้าแล้งก็เพิ่มปริมาณหมอกควันมากขึ้นเกือบทุกภาค

นโยบายของรัฐที่ผ่านมาประเทศไทย สนับสนุนให้เกษตรกรเพิ่มพื้นที่ปลูกอ้อยอีกนับล้านไร่

เพื่อผลิตน้ำตาลส่งออกและทำพลังงานทดแทน

ไทยผลิตน้ำตาลทรายได้เป็นอันดับ5 ของโลก และส่งออกเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากบราซิล

ในช่วงเดือนมกราคม-เมษายนของทุกปีการเผาอ้อยก่อนเข้าโรงหีบอ้อยจึง

ทำเพิ่มมลพิษทางอากาศเข้าไปด้วย

อย่าได้แปลกใจว่าเหตุใดคุณภาพอากาศในภาคเหนือจึงเลวร้ายลงเรื่อย ๆ

แต่ดูเหมือนไม่มีใครใส่ใจอะไรมากนัก ปล่อยให้ผู้คนผจญปัญหาตามยถากรรม

ล่าสุด ที่น่าเศร้าใจ คือกระทรวงสาธารณสุข เสนอประกาศให้เชียงใหม่เป็นพื้นที่ภัยพิบัติ

เพื่อทำให้ประชาชนได้รู้ข้อมูลแท้จริง และจัดการปัญหาอย่างเร่งด่วน

แต่ทางจังหวัดและกระทรวงมหาดไทยผู้มีอำนาจประกาศไม่ยอม

อ้างว่าจะทำให้เสียภาพพจน์การท่องเที่ยว และอ้างว่าติดระเบียบราชการบางข้อ

เอกชนจำนวนมากอาสาจะมาบินโดรน ช่วยสำรวจพื้นที่ไฟไหม้ในป่า

แต่ไม่ได้รับอนุญาตเพราะติดระเบียบราชการ

ระเบียบราชการจึงสำคัญกว่าลมหายใจผู้คน

 

การแก้ไขปัญหาหมอกควันพิษ จึงไม่ใช่แค่การดับไฟป่าอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาระดับชาติ

ระหว่างนโยบายการเพิ่มพื้นที่พืชเศรษฐกิจ กับสุขภาพของคนไทย

เราจะรักษาความสมดุลนี้ได้อย่างไร

55559439_10156194550742361_6069562781009444864_n

 

4 thoughts on “ข้าวโพด อ้อย เบื้องหลังหมอกควันพิษครั้งร้ายแรงที่สุด

  1. ช่วยรณรงค์อย่างจริงจังทั้ภาครัฐและเอกชนใครรับผลประโยชน์สูงต้องรับผิดชอบทางด้านภาษีและสุขภาพของประชาชน… โดยรัฐบาลอย่าเอาแต่ชี้แนะแต่ต้องเป็นเจ้าภาพหลัก.. รองมาคือบริษัทอาหารสัตว์.. และสุดท้ายคือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและข้าวโพด…

    Like

  2. ให้รัฐบาลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเรื่องการไถกลบเพื่อเกษตรกรจะได้ไม่เผา

    Like

  3. มีประสพการณ์ เจอปัญหาแบบนี้มาเกิน 10 ปีแล้วครับ ตั้งแต่ปี 2550, 2551 โน้น

    Like

Leave a comment