หลายครั้งที่ผู้เขียนเห็นอาคารสูงในกรุงเทพมหานคร
พยายามโฆษณาว่ามีการออกแบบให้ลูกค้าสนใจว่าเป็นอาคารรักษาสิ่งแวดล้อม
มีพื้นที่สีเขียว ผู้อาศัยจะได้สัมผัสกับต้นไม้นานาพันธุ์อย่างใกล้ชิด
แนวคิดการออกแบบอาคารเหล่านี้ที่คำนึงถึงธรรมชาติ
ดูจะห่างไกลจากอาคารแห่งนี้ที่ผู้เขียนได้ไปเยือน
ที่เห็นในภาพไม่ใช่ภูเขากลางเมืองฟูกุโอกะ มหานครใหญ่อันดับหกของประเทศญี่ปุ่น
แต่เป็นอาคารต้นไม้
มีต้นไม้ตั้งแต่ไม้พุ่ม ไม้เลื้อย ไปจนถึงต้นไม้ขนาดใหญ่ จำนวนถึง 50,000 ต้น
ขึ้นปกคลุมทั้งตึกอาครอสฟุกุโอกะ (ACROS Fukuoka)
อาคารที่ได้รับการยกย่องว่าออกแบบด้านสิ่งแวดล้อม
ได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ฟูกุโอกะ เป็นเมืองหลวงขนาดใหญ่ที่สุดของเกาะคิวชู มีประชากรเกือบสามล้านคน
แต่ขนาดเล็กกว่ากรุงเทพฯสี่เท่า เรียกว่าแออัดกว่าคนกรุงเทพ
เป็นเมืองท่าสำคัญของญี่ปุ่นที่เชื่อมต่อการค้าขายกับประเทศแถบเอเชียมานานหลายร้อยปี
ทุกวันนี้เป็นเมืองอุตสาหกรรมหนัก เป็นมหานครสำคัญด้านเศรษฐกิจ สังคม
ศิลปะวัฒนธรรม และโดดเด่นเรื่องสิ่งแวดล้อมมากที่สุด
และเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวคนไทยไปเยื่อนมากอันดับต้น ๆ
เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ทางการฟูกุโอกะ ได้มีแนวคิดจะเอาพื้นที่กลางเมือง
ราคาแพงมหาศาลสร้างอาคารที่เป็นการแลกเปลี่ยนศิลปะวัฒนธรรมระหว่างประเทศ
ตามประวัติศาสตร์ของเมืองท่าแห่งนี้ ในอดีตเคยเป็นแหล่งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
ของนานาประเทศ อาคาร ACROS จึงเป็นคำย่อมาจาก Asian CrossRoad Over the Sea
ทางการจึงได้เปิดประมูลการพัฒนาที่ดินเพื่อสร้างอาคาร
โดยให้เอกชนเช่าเป็นเวลา 60 ปี มีทั้งพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ที่เอกชนสามารถไปหาประโยชน์ได้
และการออกแบบอาคารต้องสะท้อนการอยู่ร่วมกันระหว่างธรรมชาติกับเมืองและพื้นที่สีเขียว
โดยมีโจทย์การออกแบบว่า การออกแบบด้านสถาปัตยกรรมต้องสอดคล้องกับสวนสาธารณะเทนจิน
พื้นที่สีเขียวกลางเมืองแห่งเดียวที่อยู่ติดกัน
และโจทย์สำคัญอีกประการคือ อาคารแห่งนี้ต้องเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองได้อย่างโดดเด่น
Emilio Ambasz สถาปนิกชื่อดังชาวอาร์เยนตินา ได้เป็นผู้ออกแบบอาคารแห่งนี้
เขาเนรมิตพื้นที่ 100,000 ตารางเมตร ให้มีรูปทรงเหมือนภูเขาต้นไม้สูง 15 ชั้น
เขาทำให้ภูเขาลูกนี้กับสวนสาธารณะต่อเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างน่าอัศจรรย์
และสร้างเป็นภูเขาที่มีต้นไม้ปกคลุมแนวตั้ง ทุกชั้นปกคลุมด้วยต้นไม้จนถึงหลังคา
ตอนที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นจะพามาเยี่ยมชมอาคารแห่งนี้ ผู้เขียนก็นึกว่าคงมีต้นไม้ขึ้นอยู่ในตึก
ประดับประดาเหมือนกับอาคารสีเขียวหลายแห่งที่เคยเห็นมาทั้งในและนอกประเทศ
แต่เมื่อไปถึง เราเห็นภูเขาปกคลุมด้วยต้นไม้สีเขียวขึ้นกลางเมืองจริง ๆ
ด้านหนึ่งของอาคารออกแบบให้มีระเบียง ลดหลั่นกันลงมาเหมือนปิรามิด
จึงมีรูปทรงเหมือนภูเขาที่ปกคลุมด้วยต้นไม้
เมื่อเดินขึ้นระเบียงอาคารโดยรอบ จึงพบว่า ระเบียงทุกชั้นมีขนาดกว้างมาก
สามารถปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่ลงบนดิน ไม่ใช่เป็นแค่กระถางต้นไม้ รายล้อมรอบระเบียง
ราวกับมีสวนขนาดใหญ่รอบ ๆ อาคาร จนเมื่อมองจากภายนอกเห็นต้นไม้ปกคลุมอาคาร
แทบจะไม่เห็นรูปทรงของอาคารเลย
ยิ่งเดินขึ้นชั้นสูง ๆ ยิ่งรู้สึกถึงความเงียบ ความสงบ ความเย็น
เหมาะจะเป็นที่พักผ่อนท่ามกลางความแออัดของเมือง มองเข้าไปในอาคารบางชั้นเป็นสำนักงาน
แอบอิจฉาคนที่ทำงานภายในอาคารนี้
บนดาดฟ้า อาจเรียกว่าเป็นสวนลอยฟ้า ปกคลุมด้วยต้นไม้นานาชนิด สวยงามมาก
มองเห็นทะเล อ่าวฟูกุโอกะ และท่าเรือใหญ่อยู่ไม่ไกล
อาคารด้านทิศเหนือถูกออกแบบให้ดูทันสมัย
สอดคล้องกับด้านที่ติดกับถนนย่านการเงินสำคัญของเมือง
ขณะที่อาคารด้านทิศใต้สอดคล้องกับสวนสาธารณะที่อยู่ติดกัน
จนดูเหมือนเป็นทางขึ้นภูเขาสีเขียวกลางเมือง
ภายในอาคาร มีหอประชุมฟังดนตรีขนาดสองพันที่นั่ง ห้องประชุมนานาชาติ
สามารถแปลได้ 6 ภาษา พิพิธภัณฑ์จัดแสดงศิลปะวัฒนธรรมของเมือง ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ
และลานกิจกรรมกลางแจ้ง แสดงงานศิลปะเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ
อาคารแห่งนี้เปิดเมื่อปี พ.ศ. 2538 ตอนแรกปลูกต้นไม้ 76 ชนิด จำนวน 37,000 ต้น
ต่อมานกนานาชนิดได้อาศัยต้นไม้ทำรังบนภูเขาต้นไม้แห่งนี้ และคาบนำเอาเมล็ดจากข้างนอก
มาตกหล่นจนสามารถขยายพันธุ์ไม้เพิ่มเป็น 120 ชนิด นับจำนวนต้นไม้ได้มากกว่า 50,000 ต้น
สิ่งที่น่าสนใจคือการใช้ระบบน้ำหมุนเวียนหล่อเลี้ยงต้นไม้
เราจึงเห็นน้ำตกเป็นระยะจากชั้นบนลงมาสู่ชั้นล่าง และหมุนวนนำกลับไปใช้ใหม่ได้ตลอด
และช่วยลดความร้อนของอาคารด้วย
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2543 สถาบันเทคโนโลยีนิปปอน ได้มาทำวิจัยว่าต้นไม้ น้ำ
และดินช่วยลดความร้อนได้อย่างไร
เขาทำการวัดระดับความร้อนภายในอาคาร
เปรียบเทียบกับสภาพภายนอก
เขาพบว่า อุณหภูมิทั้งสองแห่งมีความแตกต่างกันถึง 15 องศาเซลเซียส
หมดข้อสงสัยเลยว่า ต้นไม้ใหญ่ช่วยลดความร้อนอย่างไร
ทุกวันนี้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากพากันมาเยี่ยมชมอาคารแห่งนี้ว่า
ทำได้อย่างไรตั้งแต่การออกแบบ การแบ่งพื้นที่ให้ต้นไม้เติบโต. ศึกษาระบบรดน้ำและระบายน้ำ
ไม่แปลกใจที่ฟูกุโอกะ ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองน่าอยู่อันดับสิบของโลก
สติปัญญาของมนุษย์มีพร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้
เพราะธรรมชาติคือองค์ประกอบสำคัญของมหานคร
ไม่ใช่มัวคิดจะตัดต้นไม้อย่างเดียว เพื่อเปลี่ยนเป็นอาคารสูง